Onpage และ Offpage ในหลักการของ SEO คืออะไร
น้องๆหลายๆคนที่เพิ่งจะทำ website แล้วเริ่มหัดทำ seo คงงงกับคำว่า Onpage หรือ Offpage ในการทำเว็บไซต์ว่ามันคืออะไร วันนี้ก็จะมาอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆกัน

ถ้าเปรียบเว็บไซต์เป็นร้านขายของ
on page = การปรับแต่งหน้าร้าน ให้ดูน่าหยิบสินค้า จัดหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระเบียบ ลูกค้าเดินเข้าดูแล้วสะบายตา มีป้ายร้านค้า ป้ายสินค้า บอกรายละเอียดสินค้า บอกยี้ห้อสินค้า บอกราคาสินค้า เจ้าของร้านยิ้มแย้มตอนรับลูกค้า บริการดี  พวกนี้ล้วนเรียกกว่า onpage
off page = จะเปรียบได้ก็กับว่าการพูดคุยถึงร้านคุณ จะเรียกง่ายๆว่ากระแสก็ว่าได้ ร้านที่เปิดมานาน และบริการดี มักมี ลิงค์ (การพูดถึง) มากกว่าร้านใหม่ๆ แต่ร้านใหม่ก็ใช้ว่าจะไม่สามารถทำได้ หากมีการตลาดที่ดี โปรโมตร้าน สินค้าดีจริง บริการดี เมื่อทุกคนพูดถึงมาก อาจเป็นร้านในดวงใจหลายๆคน จนบางครั้งอาจมี บริษัทที่จัดอันดับร้านค้าดีเด่น ร้านนั้นๆอาจจะอยู่อันดับต้นๆของการจัดอันดับ ในเชิงเว็บไซต์ ก็มี google เป็นคนให้
อันดับ เรียกว่า PangRank

onpage and off page ในการทำเว็บ

การปรับ onpage โดยหลักๆแล้วจะเป็นประมาณนี้
ชื่อ domain อันนี้จะเรียก onpage ก็ได้ เพราะมีส่วนของการค้นหาเหมือนกัน ชื่อดีเข้าก้ับเนื้อหาก็มีส่วนช่วย (ย้ำว่ามีส่วนแต่ไม่ใช้ทั้งหมด)
<title>Title เปรียบสะเหมือนชื่อ ร้าน และ detail พวก keyword(คำค้นหา) อื่นๆใส่ไปด้วย </title> ตรงนี้สำคัญมาก

<meta name=”description” content=”เป็นรายละเอียด ลงลึกถึงกลุ่มเป้าหมายเว็บอาจใส่คำจำเพราะ หรือ อธิบาย Title ด้านบน”/>
<meta name=”keywords” content=”keyword,คีิเวิร์ด,เป็นคำค้นหาหรือคำหัวใจของเว็บเรา,คันด้วยเครื่องใหม่ลูกน้ำ”/>

การใส่รูปควรแซก alt เพื่อบอกรายละเอียดของรูป เช่น <img src=”logo.jpg” alt=”รายละเอียด” />
การใส่ลิงค์ควรใส่ Title เพื่อแสดงรายละเอียดลิงค์ เช่น <a href=”url.com”  title=”รายละเอียด”>ข้อความ</a>

การจัดหมวดหมู่หลักหมวดหมูย่อยโดยการกำหนด H เช่น

<h1>คอมพิวเตอร์</h1>
<h2>ประวัติคอมพิวเตอร์</h2>
</h2>อุกกรณ์คอมพิวเตอร์</h2>
</h3>HDd</h3>
</h3>Mornitor</h3>

เพื่อให้ง่ายและรู้ว่าอันไหนอยู่หมวดไหนอันไหนคือหลักอันไหนคือย่อย และหากตรงไหนสำคัญอาจแซกด้วย ตัวหนา ตัวเอียง หรือ ขีดเส้นใต้
การ ใช้ Code ที่ไม่สิ้นเปลือง อาจมีการเก็บค่าที่ใ้ช้บ่อยๆไว้ใน css เพื่อทำให้หน้าเว็บโหลดเร็ว ไม่ใช้แค่หน้าตาหน้าเว็บนิดเดียวแต่พอ Source ออกมาแล้วโอ๊วอะไรเยอะเยะวุ่นวายไปหมด อันนี้ความอืดความช้าจะตามมา
การทำ sitemap เพื่อให้ bot รู้โครงสร้างของเว็บเพื่อเวลามาเก็บข้อมูลจะได้รวดเร็วและครบถ้วน เปรียบได้ก็เหมือน แผนที่ของไซต์
การเขียนเนื้อหา ควรมีคำหรือ keyword ที่เราอยากเน้นอยู่ ไม่มากและน้อยจนเกินไป และรู้จุดประส่งค์เป้าหมายของ content ก่อนเขียนควรมองหาคำค้นหา หัวใจของ content หรือ keyword ของ content นั้นๆเสียก่อน มันเหมือนกับหากต้องการ กินหมู ให้ไปร้านขายหมู ฉนั้น อยากให้คนค้นหามาเจอร้านขายหมู ก็ต้องพูดถึงหมู แต่การพูดมากไปอาจจะเป็นการ spam ได้

การ Tag คือการยัดคำหลักๆ ที่เราอาจพูดถึงบ่อยๆ ให้อยู่ในหมวดเดียวกันในแต่ละ content เช่นหากพูดถึง ศิลปิน ท่านหนึ่งในอีกหนึ่ง content เราก็อาจจะพูดถึงคนนี้อีกในอีกหนึ่ง content เราก็อาจใส่ tag เอาไว้ เพื่อรวมเรืองราวของคน คนนั้นเอาไ้วใน tag เดียวกัน ก็มีส่วนช่วยในเรื่องของ seo เหมือนกัน
ส่วนเรื่อง off page มันคือการหาลิงค์มายังเว็บเรา อาจมีคนลิงค์มาหา content ของเราเพราะเนื้อหาของเราดี หรือเราเอาลิงค์ของเราเองไปวางไว้หลายๆที่ เรียกกว่าการโปรโมท