หลักการออกแบบ มีดังนี้
1. เอกภพ ( unity)
2. ความสมดุลย์ ( balance)
3. การเน้นให้เกิดจุดเด่น ( Emphasis)
4. เส้นแย้ง ( opposition)
5. ความกลมกลืน ( Harmony )
6. จังหวะ (rhythm)
7. ความลึก / ระยะ ( Perspective)
8. ความขัดแย้ง (Contrast)
9. การซ้ำ ( Repetition)
1. ความเป็นหน่วย / เอกภพ ( Unity)
ในการออกแบบ ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงงานทั้งหมดให้อยู่ในหน่วยงานเดียวกันเป็นกลุ่มก้อน หรือมีความสัมพันธ์กันทั้งหมดของงานนั้น ๆ และพิจารณาส่วนย่อยลงไปตามลำดับในส่วนย่อยๆ ก็คงต้องถือหลักการนี้เช่นกัน
การสร้างเอกภพในทางปฎิบัติมี 2 แบบคือ
– Static unity การจัดกลุ่มของ from และ shape ที่แข็ง เช่น รูปทรงเรขาคณิต จะให้ผลทรงพลังเด็ดขาด แข็งแรก และ แน่นอน
– Dynamic unity เป็นการเน้นไปทางอ่อนไหวการเคลื่อนไหว ซึ่งอยู่รูปในลักษณะ gradation or harmony or contrast อย่างใดอย่างหนึ่งให้แสดงออกมาจากงานชิ้นนั้นด้วยจะทำให้งานสมบูรณ์ขึ้น การจัดองค์ประกอบที่ดีนั้นควรให้ส่วนประกอบรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่แตกกระจาย การรวมตัวกันจะทำให้เกิดหน่วย หรือเอกภพ จะได้ส่วนประธานเป็นจุดสนใจ และมีส่วนประกอบต่างๆ ให้น่าสนใจ
2. ความสมดุล ( Balance ) คือ
ความเท่ากันหรือเท่าเทียมกันทั้งสองข้าง แบ่งออกเป็น
– สมดุลแบบทั้ง 2 ข้างเหมือนกัน (Symmetrical balance)
ทั้งซ้ายขวาเหมือนกัน การสมดุลแบบนี้จะทำให้ดูมั่นคงหนักแน่น ยุติธรรม เช่น งานราชการ ใบวุฒิบัตร ประกาศนียบัตร การถ่ายรูปติดบัตรเป็นต้น
– สมดุลแบบ 2 ข้างไม่เหมือนกัน (Asymmetrical balance )ด้านซ้ายและขวาจะ
ไม่เหมือนกัน แต่มองดูแล้วเท่ากันด้วยน้ำหนักทางสายตา เช่น สมดุลด้วยน้ำหนัก
และขนาดของรูปทรง ด้วยจุดสนใจ ด้วยจำนวนด้วยความแตกต่างของรายละเอียด
ด้วยค่าความเข้ม – จางของสี เป็นต้น
3. การเน้นให้เกิดจุดเด่น (Emphasis )
ในการออกแบบจะประกอบด้วยจุดสำคัญหรือส่วนประธานในภาพ จุดรองลงมาหรือส่วนรองประธาน ส่วนประกอบหรือพวกรายละเอียดปลีกย่อย ต่างๆ หลักและวิธีในการใช้การเน้น
– เน้นด้วยการใช้หลักเรื่อง Contrast
– เน้นด้วยการประดับ
– เน้นด้วยการจัดกลุ่มในส่วนที่ต้องการเน้น
– เน้นด้วยการใช้สี
– เน้นด้วยขนาด
– เน้นด้วยการทำจุดรวมสายตา
4. เส้นแย้ง ( Opposition)
เป็นการจัดองค์ประกอบโดยการนำเอาเส้นในลักษณะแนวนอนและแนวตั้งฉากมาประกอบกันให้เป็นเนื้อหาที่ต้องการ มีลักษณะของภาพแบบเส้นแย้งในธรรมชาติรอบๆ ตัวเรา อยู่มากมาย นับว่าเป็นรากฐานของการจัดองค์ประกอบ
การจัดองค์ประกอบให้เกิดความแตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจหรือให้เกิดความสนุก ตื่นเต้น น่าสนใจ ลดความเรียบ น่าเบื่อ ให้ความรู้สึกฝืนใจ ขัดใจ แต่ชวนมอง
5. ความกลมกลืน ( Harmony )
การจัดองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกันหรือคล้ายๆ กันมาจัดภาพทำให้เกิดความนุ่มนวลกลมกลืนกันมี 3 แบบดังนี้
A. กลมกลืนในด้านประโยชน์ใช้สอย คือ ทำให้เป็นชุดเดียวกัน
B. กลมกลืนในความหมาย เช่น การออกแบบเครื่องหมายการค้า และ โลโก้
C. กลมกลืนในองค์ประกอบได้แก่
– กลมกลืนด้วยเส้น – ทิศทาง
– กลมกลืนด้วยรูปทรง – รูปร่าง
– กลมกลืนด้วยวัสดุ – พื้นผิว
– กลมกลืนด้วยสี มักใช้โทนสีที่ใกล้กัน
– กลมกลืนด้วยขนาด – สัดส่วน
– กลมกลืนด้วยน้ำหนัก
6. จังหวะ (Rhythm)
จังหวะเกิดจากการต่อเนื่องกันหรือซ้ำซ้อนกัน จังหวะที่ดีทำให้ภาพดูสนุก เปรียบได้กับเสียงเพลงอันไพเราะในด้านการออกแบบ แบ่งจังหวะ เป็น 4 แบบคือ
– จังหวะแบบเหมือนกันซ้ำๆกัน เป็นการนำเอาองค์ประกอบหรือรูปที่เหมือนๆ กันมาจัดวางเรียงต่อกัน ทำให้ดูมีระเบียบ ( order ) เป็นทางการ การออกแบบลายต่อเนื่อง เช่น ลายเหล็กดัด ลายกระเบื้องปูพื้นหรือผนัง ลายผ้า เป็นต้น
– จังหวะสลับกันไปแบบคงที่ เป็นการนำองค์ประกอบหรือรูปที่ต่างกันมาวางสลับกันอย่างต่อเนื่อง เป็นชุด เป็นช่วง ให้ความรู้สึกเป็นระบบ สม่ำเสมอ ความแน่นอน
– จังหวะสลับกันไปแบบไม่คงที่ เป็นการนำองค์ประกอบหรือรูปที่ต่างกันมาวางสลับกัน อย่างอิสระ ทั้งขนาด ทิศทาง ระยะห่าง ให้ความรุ้สึกสนุกสนาน
– จังหวะจากเล็กไปใหญ่ หรือจากใหญ่ไปเล็ก เป็นการนำรูปที่เหมือนกัน มาเรียงต่อกันแต่มีขนาดต่างกัน โดยเรียงจากเล็กไปใหญ่ หรือ จากใหญ่ไปเล็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพมีความลึก มีมิติ
7. ความลึก / ระยะ ( Perspective )
ให้ภาพดูสมจริง คือ ภาพวัตถุใดอยู่ใกลัจะใหญ่ ถ้าอยุ่ไกลออกไปจะมองเห็นเล็กลงตามลำดับ จนสุดสายตา ซึ่งมีมุมมองหลักๆ อยู่ 3 ลักษณะ คือ วัตถุอยู่สูงกว่าระดับตาวัตถุอยู่ในระดับสายตา และวัตถุอยู่ตต่ำกว่าระดับสายตา
8. ความขัดแย้ง ( contrast )
ความขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันเข้ากันไม่ได้ ไม่ประสานสัมพันธ์กัน ขององค์ประกอบศืลป์ ทำให้ขาดความกลมกลืน ในเรื่องรูปทรง สี ขนาดลักษณะผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้นนักออกแบบที่ดี จะต้องลดความขัดแย้งดังกล่าว ให้เป็นความกลมกลืน จึงจะทำให้งานออกแบบมีคุณค่า ลักษณะของความขัดแย้ง เช่น ความขัดแย้งของรูปร่าง ความขัดแย้งของขนาดต่างๆ เป็นต้น
9. การซ้ำ ( Repetition ) คือ
การปรากฎตัวของหน่วยที่เหมือนกันตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไปเป็นการรวมตัวกันของสิ่งที่มีอยูฝ่ายเดียวเข้าด้วยกัน เช่น การซ้ำของน้ำหนักตำ การซ้ำของเส้นตั้ง การซ้ำของน้ำหนักเทา การซ้ำของรูปทรงที่เหมือนกัน เป็นต้น
การซ้ำสามารถใช้ประกอบโครงสร้างสิ่งต่างๆ ให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เช่น กราฟฟิคบนบรรจุภัณฑ์ ลวดลายผ้า เป็นต้น สิ่งสำคัญของการซ้ำ คือ ส่วนประกอบของการซ้ำและหลักการจัดองค์ประกอบของการซ้ำ เพื่อใช้เป็นข้อมูล ในการสร้างและต้องเข้าใจในหลักการประกอบส่วนย่อยนั้นเข้าด้วยกัน
ซึ่งการซ้ำสามารถแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 รูปแบบ
– การเรียงลำดับ ( Translation in step )
– การสลับซ้าย – ขวา (Reflection about line )
– การหมุนรอบจุด (Rotation about a point )
– การสลับซ้าย – ขวา และหมุนรอบจุด (Reflection and rotation)
– การสลับซ้ายขวา และเรียงลำดับ ( Reflection and translation )
– การหมุนรอบจุด และเรียงลำดับ (Rotation and translation)
– การเรียงลำดับสลับจังหวะ (Reflection and alternate translation )
– การผสมระหว่างเรียงลำดับ สลับจังหวะและหมุนรอบจุด ( Reflection, rotation and translation )